วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เซอร์เบอรัส


เซอร์เบอรัส
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

เซอร์เบอรัส หรือ เคอร์เบอรอส (อังกฤษ: Cerberus ; กรีก: Κέρϐερος (Kerberos) แปลว่า ปีศาจในหลุม) เป็นสัตว์ในเทพปกรณัมกรีก มีรูปร่างเป็นสุนัขสีดำใหญ่โตพ่วงพี มี 3 หัว ปลายสุดของหางเป็นงู (บางตำนานว่าเป็นหางมังกร) เซอร์เบอรัสมีหน้าที่เฝ้าทางลงสู่นรกที่หน้าประตูทางเข้า ตรุทาร์ทะรัส

เซอร์เบอรัสเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของฮาเดส (Hades) มันจะยอมให้วิญญาณของคนทุกคนเข้าประตู แต่จะไม่ยอมให้กลับออกมาเป็นอันขาด เมื่อไปถึงประตูนี้ วิญญาณแต่ละดวงจะถูกพาไปรับคำพิพากษาของ สามเทพสุภาคือ ราดาแมนทีส ,ไมนอส และ ไออาคอส. วิญญาณที่ชั่วร้ายจะถูกพิพากษาให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในตรุทาร์ทะรัสไปชั่วกัลป์ ส่วนวิญญาณที่ดีจะได้รับคำพิพากษาให้พาไปอยู่ยัง ทุ่งอีลิเซียน แดนสุขาวดีของกรีก

เซอร์เบอรัสยังเป็นภาระกิจที่ 12 ของเฮราคลีสอีกด้วย เรื่องราวก็เนื่องจาก เทพีเฮรากลั่นแกล้งให้เฮราคลีสวิกลจริต และทำความผิดหลาย อย่าง เช่น ฆ่าทายาทของตัวเอง, เฮราคลีสจึงต้องรับโทษ โดยให้อยู่ใต้อำนาจของกษัตริย์ที่อ่อนแอ เป็นเวลาถึง 12 ปี และต้องทำภาระกิจ 12 ประการให้เสร็จสมบูรณ์ จึงจะพ้นโทษ ภารกิจ 12 ประการนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการพิชิตปีศาจ หรือไม่ก็สยบสัตว์อิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ การจับเซอร์เบอรัสมาให้กษัตริย์ของเขาก็เป็นหนึ่งในภาระกิจด้วย และเฮราคลีสก็สามารถจับเซอร์เบอรัสได้ด้วยพลังอันมหาศาลของเขา นอกจากเฮราคลีสแล้ว ออร์ฟิอุสเคยใช้เสียงเพลงสะกดเซอร์เบอรัสให้เชื่องขณะเข้าไปในยมโลกเพื่อคืนชีพให้คนรัก ในตำนานของโรมัน ไซคีได้ทำให้เซอร์เบอรัสหลับด้วยเค้กน้ำผึ้งใส่ยานอนหลับ


แม่ของเซอร์เบอรัสเป็นอสุรกายชื่อ อีคิดน่า (กรีก: Echidna) เป็นพี่น้องของพวกกอร์กอนส์ทั้งสาม อีคิดน่ารูปร่างหน้าตาสวยงามเฉพาะท่อนบน แต่ท่อนล่างลงมาเป็นงูยักษ์มหึมา และได้มามีสัมพันธ์กับอสุรกายอีกตนหนึ่งคือ ไทฟอน (Typhon) ซึ่งลูกๆของไทฟอนและอีคิดน่าล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย นอกจากเซอร์เบอรัสแล้วก็คือ ไฮดรา, ออทรัส, สิงโตเนเมีย, ไคเมร่า และ สฟิงซ์ แต่นอกจากเซอร์เบอรัสซึ่งได้เป็นสัตว์เลี้ยงของฮาเดสแล้ว พี่น้องทั้งหมดของเซอร์เบอรัสก็ถูกวีรบุรุษในตำนานกรีกสังหารเสียสิ้น

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่า นาเบเรียส มาควิสแห่งนรกผู้ช่ำชองในศาสตร์ต่างๆโดยเฉพาะการปลุกภูติผีและเป็นหนึ่งใน 72 ปิศาจซึ่งกล่าวถึงในบท อาร์สโกเอเทียของตำราเวทย์ กุญแจย่อยของโซโลมอน ก็คือเซอร์เบอรัสนั่นเอง

เมดูซ่า


เมดูซ่า
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา


ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่า (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผุ้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก

เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของ เมทิสซึ่งเมทิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของเมทิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมทิสแม่ของเมดูซ่าถูกเทพ ซุส (Zeus) ข่มขืนและกลืนกินลงท้องไป และซุสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของเมทิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง พลังอำนาจนั้นทำให้เทพซุสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดา อาเธน่า (Athena) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของเมทิสทะลักออกมาทางหน้าผากของซุส เมื่อเอเทน่าได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาของเมทิสผู้เป็นแม่ และเอเทน่าก็ถือเมดูซ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแม่ เป็นศัตรูคนสำคัญ อยู่มาวันหนึ่งเมดูซ่าที่เป็นสาวงาม มีชายหลายคนหมายปองเป็นเจ้าของ ก็ได้ไปบูชาเทพเอเทน่ายังวิหารของเอเทน่า แล้วเทพโพไซดอน (Poseidon) ก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเทน่าเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่า ลบหลู่เอเทน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาบให้ผมสวยงามของเมดูซ่าเป็นงูเต็มหัวเมดูซ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาบคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนนึงในตำนานกรีก

สุดท้ายเมดูซ่าก็ถูกเพอร์ซีอุสฆ่าตายจากการถูกเพอร์เซอุสใช้ดาบและโล่ที่ได้ประทานมาจากเอเทน่าฟันคอขาดโดยมองเมดูซ่าจากโล่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเอเทน่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังในการตายของเมดูซ่า ที่เอเทน่าให้เพอร์เซอุสไปฆ่าเมดูซ่าแทนนั้นเพราะอาเทน่าเป็นเทพแล้วจึงใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ไม่มาก จึงใช้มือของเพอร์เซอุสในการทำการเรื่องนี้

คราเคน


คราเคน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

คราเคนกำลังเกาะเรือคราเคน (Kraken) เป็นสัตว์ยักษ์ในตำนานที่ชาวทะเลเหนือหวาดกลัว มักเล่าว่าคล้ายหมึกกระดองขนาดยักษ์ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ ชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัว

คราเคนถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ "The Natural History of Norway" ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับคราเคนเอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์

เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเคนก็ค่อยๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมาโอฬาร แต่ก็ยังมีขนาดยักษ์

นักชีววิทยาเชื่อว่า ที่แท้เป็นหมึกมหึมาชนิดหนึ่ง อยู่ในทะเลลึก และเมื่อตายจะเป็นซากลอยเกยหาด จนชาวประมงพบเห็นและจินตนาการเพิ่มเติมเกินจริง หมึกมหึมามีขนาดใหญ่จริง แต่ไม่เท่าเรื่องเล่าในตำนาน มีซากตัวอย่างที่ยาวเท่าเรือเร็ว และมีหลักฐานจากซาก วาฬสเปิร์ม ว่าวาฬพยายามกินหมึกชนิดนี้ และต่อสู้กัน

ใน พ.ศ. 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของหมึกดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า หมึกมหึมา (Giant Squid) โจมตีเพราะเรือมีลักษณะคล้ายปลาวาฬศัตรูของหมึกจนเข้าใจผิด และจากรายงานของผู้ประสบเหตุอ้างว่า หมึกดังกล่าวมีขนาดมหึมา โดยเฉลี่ยประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน ส่วนมากเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น

โมเคเล เอ็มเบ็มบี


โมเคเล เอ็มเบ็มบี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

ภาพวาดโมเคเล เอ็มเบ็มบี ฆ่าชาวปิ๊กมี่
ภาพของสิ่งที่เชื่อว่าเป็น โมเคเล เอ็มเบ็มบี ของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นโมเคเล เอ็มเบ็มบี (Mokèlé-mbèmbé) ชื่อเรียกของสัตว์ลึกลับขนาดใหญ่ที่พบในหนองน้ำหรือทะเลสาบของทวีปแอฟริกาตอนกลาง ในประเทศสาธารณรัฐคองโก, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, แคเมอรูนและแซมเบีย ที่ ๆ มีแม่น้ำคองโกไหลผ่าน มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์จำพวกซอโรพอด เช่น บราคิโอซอรัส (Brachiosaurus) หรือ บรอนโตซอรัส (Brontosaurus) โดยชื่อนี้เป็นภาษาลิงกาลามีความหมายว่า ผู้เดียวที่หยุดการไหลของแม่น้ำได้ (one who stops the flow of rivers)

โมเคเล เอ็มเบ็มบี เป็นสัตว์ที่อยู่ในตำนานเล่าขานของชนเผ่าพื้นเมือง เช่น ปิ๊กมี่ ว่าเป็นสัตว์ดุร้าย มักทำร้ายคนหรือสัตว์ที่เข้าใกล้ตัว โดยจะฆ่าให้ถึงตายแต่จะไม่กิน มีรายการการพบเห็นอย่างเป็นทางการครั้งแรกใน ค.ศ. 1766 โดยบาทหลวงที่เข้าไปแผ่ศาสนาในแคเมอรูนชื่อ Lievain Proyart จากนั้นก็มีรายงานการพบเห็นอีกครั้งต่อมาในปี ค.ศ. 1909 โดยนายPaul Gratz ได้บันทึกว่าเขาพบ โมเคลเล เอ็มเบ็มบี ในขณะที่มันว่ายน้ำอยู่ในบึงอย่างสบายอารมณ์ ใกล้กับทะเลสาบ Bangweulu ของประเทศแซมเบีย และเรียกชื่อมันว่า เอ็นซังกา (Nsanga)

จากนั้นก็มีการอ้างว่าพบเห็นอีกหลายครั้ง โดยนักสำรวจหรือนักผจญภัยชาวตะวันตกในอีกหลายปีต่อมา จนกระทั่งในยุค'90 มีปฏิบัติการตามล่าอย่างจริงจังถึง 2 ครั้งใหญ่ รวมทั้งมีการบันทึกภาพได้ด้วยในระยะไกล โดยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ใน ค.ศ. 1988 และพบสิ่งที่คล้ายรอยเท้า แต่ก็ยังไม่มีใครพบหลักฐานหรือสิ่งที่ยืนยันได้จะ ๆ จริง ๆ แต่พอสรุปรูปร่างและขนาดของโมเคลเล เอ็มเบ็มบี ได้ว่า มีความยาวลำตัว 5-10 เมตร คอยาว 1.6-3.3 เมตร หางยาว 1.6-3.3 เมตร มีผิวสีน้ำตาลแดง ไม่มีเกล็ด กินพืช 2 ชนิดเป็นอาหาร การพบเห็นครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2000 ในประเทศแคเมอรูน โดยเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแคเมอรูน 2 คน กระนั้นชนชาวพื้นเมืองก็กล่าวว่า ในอดีตเคยมีผู้ได้ทานเนื้อมันด้วยแต่ก็นานมาแล้ว จนบุคคลนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ในความคิดของชาวพื้นเมืองคาดว่า โมเคลเล เอ็มเบ็นบีอาจสูญพันธุ์ไปแล้วก็เป็นได้

ยูนิคอร์น


ยูนิคอร์น
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

ยูนิคอร์นในไอร์แลนด์
ยูนิคอร์นบนพรมในฝรั่งเศสยูนิคอร์น (Unicorn) เป็นสัตว์ในตำนาน เชื่อว่าพบได้ตามป่าทางตอนเหนือของยุโรป ตัวโตเต็มที่มีลักษณะเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ สง่างาม มีเขาหนึ่งเขาที่กลางหน้าผาก (โดยมากเขาจะเป็นเกลียวด้วย) ลูกยูนิคอร์นแรกเกิดมีขนสีทอง และจะเปลี่ยนเป็นสีเงินก่อนที่จะโตเต็มวัย เขา เลือด และขนของยูนิคอร์นมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง

โดยทั่วไปยูนิคอร์นจะหลีกเลี่ยงการข้องแวะกับมนุษย์ และจะยอมให้แม่มดเข้าใกล้มากกว่าพ่อมด นอกจากนั้น ยูนิคอร์นยังวิ่งได้เร็วมาก จึงยากที่จะจับตัวได้ ในโลกตะวันตก ยูนิคอร์นถือเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายและรักความสันโดษ เรื่องเล่าของยุโรประบุว่าการจับยูนิคอร์นนั้นต้องใช้สาวพรหมจรรย์เป็นผู้จับยูนิคอร์น ซึ่งยูนิคอร์นจะลืมสัญชาตญาณป่าเถื่อนและเชื่องราวกับเป็นม้าธรรมดา

การกล่าวถึงยูนิคอร์นในโลกตะวันตก มีขึ้นครั้งแรกในหนังสือของอินเดีย ซึ่งเขียนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เมื่อประมาณ พ.ศ. 14 บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า "ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่เท่า ๆ กับม้า ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศีรษะมีสีแดงเข้ม และมีดวงตาสีน้ำเงิน พวกมันมีเขาอยู่บนหน้าผากเขาหนึ่ง ซึ่งมีความยาวประมาณครึ่งเมตร" กล่าวกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ผสมระหว่างแรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของมันมีความแหลมคมมาก โดยมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และตรงยอดเป็นสีแดงเลือดหมู

มันติคอร์


มันติคอร์ (อังกฤษ: Manticore) เป็นสัตว์ที่เกิดจากจากการผสมพันธุ์ระหว่าง คนกับสัตว์ มีฟันอันแหลมคม นิสัยเจ้าเล่ห์ มีหน้าเป็นคน ตัวเป็นสิงโต ชื่อของมัน มาจากภาษาเปอร์เซีย คือ martikhora แปลว่า ผู้กินคน คนเอเชียยุคโบราณต่างก็รู้จัก มันติคอร์ ในศตวรรษที่สอง มีนักประวัติศาสตร์โรมันบรรยายถึง ความน่ากลัวของมันติคอร์จากเรื่องบอกเล่าที่มีมาราว 700 ปี ก่อนหน้านั้นว่าในอินเดียมีสัตว์ป่าชนิดหนึ่งที่มีอำนาจ น่าเกรงขาม รูปร่างใหญ่ราวกับสิงโตตัวที่ใหญ่ที่สุด มีผิวสีแดง ขนหยาบคล้ายสุนัข ในภาษาอินเดียเรียกมันว่า มาร์ติคอรัส

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของมันไม่ใช่สัตว์ แต่กลับเป็นใบหน้าของมนุษย์ มีฟันบนสามแถว และฟันล่างอีกสามแถว เป็นฟันที่แหลมคมและใหญ่กว่าเขี้ยวของสุนัขล่าเนื้อ ใบหูของมันก็คล้ายกับของมนุษย์ เว้นแต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่าและมีขนหยาบ ตาของมันมีสีน้ำเงินเทาคล้ายนัยน์ตามนุษย์ แต่เท้าและกรงเล็บของมันเหมือนของสิงโต ที่ปลายหางของมันคือหางของแมงป่อง ที่อาจจะมีความยาวเกินกว่า 18 นิ้ว ที่ปลายสุดของหาง มีเหล็กไนที่สามารถต่อยคนถึงตายได้ทันที มันสามารถปล่อยเหล็กไนที่มีลักษณะเหมือนกับลูกศร และสามารถยิงไปได้ไกล เมื่อปล่อยเหล็กไนไปแล้วมันก็จะม้วนหางกลับ หากมันจะยิงเหล็กไนไปทิศตรงข้าม มันจะยืดหางออไปจนสุดแทน สัตว์ที่ถูกเหล็กไนของมันติคอร์จะตายทันที ช้างเป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่มันติคอร์จะไม่ทำร้าย

ปนาลี


ปนาลี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

ปนาลี หรือ การ์กอยล์ (ภาษาอังกฤษ: Gargoyle) ความหมายของปนาลีทางสถาปัตยกรรมหมายถึงหินที่แกะเป็นรูปอัปลักษณ์ (grotesque) ยื่นออกไปจากสิ่งก่อสร้างที่มีรางและช่องให้น้ำจากหลังคาไหลห่างจากตัวสิ่งก่อสร้าง

คำว่า “gargoyle” มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า “gargouille” ซึ่งแปลว่าคอหอย[1] ซึ่งมาจากภาษาละติน “gurgulio, gula” หรือคำที่มีรากมาจาก “gar” ที่แปลว่า กลืน ซึ่งคล้ายเสียงน้ำไหลในท่อ (ตัวอย่าง: ภาษาสเปน “garganta” แปลว่าคอหอย จึงใช้คำว่า “garganta” สำหรับ “gargoyle”)

รูปอัปลักษณ์ที่มิได้ใช้เป็นรางน้ำแต่ใช้เป็นสิ่งตกแต่ง ตามภาษาสามัญก็ยังเรียกว่า ปนาลี[1] ถึงแม้ว่าทางสถาปัตยกรรมจะแยกการใช้ระหว่างคำว่า “ปนาลี” และคำว่า “รูปอัปลักษณ์” ปนาลีจะเป็นคำที่ใช้สำหรับรูปอัปลักษณ์ที่ใช้เป็นรางน้ำ และ คำว่า“รูปอัปลักษณ์” จะหมายถึงรูปสลักที่มิได้ใช้เป็นรางน้ำ

ปนาลี จะเป็นรูปสลักตามมุมต่าง ๆ ของสถาปัตยกรรมในแบบกอธิคใน ยุโรป โดยมากจะสลักเป็นรูป มังกร หรือ ปีศาจ ในท่วงท่าต่าง ๆ โดยท่าที่รู้จักมากที่สุด คือ นั่งยอง ๆ ตามองไปทางข้างหน้า

ปนาลี เชื่อว่า เดิมเป็นมังกร ชาวยุโรปในยุคกลางเชื่อว่า การ์กอยล์เมื่อตอนกลางวันจะเป็นรูปสลัก ตกกลางคืนจะกลายร่างเป็นมังกรบินไปทั่วหมู่บ้านหรือเมืองที่อาศัย เพื่อปกป้องดูแลมิให้มีสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เข้ามารังควาน

เพกาซัส


เพกาซัส
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา


รูปสลักนูนต่ำ เบลเลโรฟอนปราบไคเมร่า ด้วยเพกาซัสเพกาซัส (อังกฤษ: Pegasus, ภาษากรีก: Πήγασος, เปกาซอส หมายถึง แข็งแรง) เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก เป็นม้าร่างกำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกอันกว้างสง่างามเหมือนนกพิราบ

เพกาซัสเกิดมาจากนางกอร์กอน เมดูซ่า ถูกวีรบุรุษเพอร์ซีอุสฟันคอขาดตาย ในขณะที่นางสิ้นใจตายนั้น เพกาซัสก็กระโจนออกมาจากลำคอของนาง ไม่มีใครสามารถปราบเพกาซัสได้เลยซักคน ตอนที่มันเกิดมาใหม่ ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคะนองนั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้าที่มันวิ่งก่อให้เกิดน้ำพุสวยงามที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือน้ำพุฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่เป็นที่รู้จักกันในวรรณคดีกรีกโบราณ ว่ากันว่าใครได้ดื่มน้ำพุนี้แล้ว โอกาสที่จะเป็นกวีเอกอยู่แค่เอื้อมทีเดียว

เพกาซัสโดนปราบโดยเด็กหนุ่มรูปงามชาวเมืองโครินทร์มีนามว่า "เบลเลอโรฟอน" (Bellerophon) เบลเลอโรฟอนเป็นโอรสของเจ้าเมืองโครินทร์ที่มีนามว่า พระเจ้ากลอคุส (Glaucus) ซึ่งต่อมาเบลเลอโรฟอนได้ขี่เพกาซัสปราบไคเมร่า

ลิวาธาน



ลิวาธาน (לִוְיָתָן "ม้วน; ขด", ภาษาฮิบรูมาตรฐาน Livyatan, ภาษาฮิบรูติเบเรียน Liwyāṯān) เป็นสัตว์ร้ายในทะเล ตามความในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในศาสนาคริสต์ อ้างไว้ในพระพันธสัญญาเดิม (เพลงสดุดี 74:13-14; โยบ 41; และ อิสยาห์ 27:1)

จอมปีศาจแห่งริษยาตกเป็นตำแหน่งของงูยักษ์ลิวาธาน มันถูกกล่าวถึงทั้งในคัมภีร์ยิวและไบเบิ้ล ว่าเป็นสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ มีหลายหัว มีฟันแหลมคมเหมือนจระเข้ มีดวงตาดั่งขนตาของตะวัน (หมายถึงมันโผล่ตาขึ้นมาเหนือน้ำเหมือนที่จระเข้ทำเวลาล่าเหยื่อ ตามันจะโผล่พ้นน้ำมาเล็กน้อย เหมือนพระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาในตอนเช้า) บางครั้งมันก็ถูกกล่าวว่าเป็นพลังแห่งความสับสนวุ่นวายเมื่อครั้งสร้างโลก คัมภีร์ปฐมกาลกล่าวว่า "ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินแผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น" ผืนน้ำนั่นแหละครับคือความสับสนวุ่นวาย และก็คือลิวาธาน

คำว่า "ลิวาธาน" นั้น ยังหมายถึงสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ หรือสัตว์ขนาดใหญ่ใดๆ ก็ได้ ในภาษาฮิบรูใหม่ คำนี้มีความหมายเพียง วาฬ เท่านั้น เลวีอาธาน มีลักษณะเหมือน งูมีความยาวมาก ปรากฏบ่อยๆในเกม เช่น ไฟนอลแฟนตาซี และการ์ตูนเกมกลคนอัจฉริยะ เราต้องใช้แหวนนํ้าเพื่อป้องกัน

บาซิลิสก์


บาซิลิสก์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

รูปปั้นบาซิลิสก์ ที่เมืองแห่งหนึ่งในประเทศโครเอเชียบาซิลิสก์ (อังกฤษ: Basilisk) เป็นงูใหญ่ที่น่ากลัวและน่าสยดสยองในตำนานกรีกและยุโรป ซึ่งแค่มองผ่านเหยื่อก็ทำให้เหยื่อตายได้ ในทำนองเดียวกับ เมดูซ่า

ได้มีนักเล่านิทานคนหนึ่งอธิบายว่า บาซิลิสก์เป็น "งูที่มีมงกุฎสีทองเล็กๆ บนหัว ในยุคกลางมีผู้เชื่อว่ามันเป็นเพียงงูที่มีหัวเหมือนไก่ บางครั้งก็มีหัวเป็นคน บาซิลิสก์เกิดจากไข่ที่ออกมาจากพ่อไก่ระหว่างที่ กลุ่มดาวสุนัขใหญ่ ปรากฏบนท้องฟ้า และได้คางคกเป็นผู้กกไข่ การมองเห็นบาซิลิกก์นั้นน่ากลัวสยดสยองมาก ถ้าสัตว์ใดก็ตามได้เพียงเห็นมันมองผ่าน แม้แต่ทางกระจกก็อาจตายได้ทันทีเพราะความกลัว วิธีเดียวที่จะฆ่ามันได้ก็คือต้องถือกระจกไว้ข้างหน้าตัวมันก่อนที่มันจะมองผ่านมา เมื่อมันมองมาในกระจกนั้น มันก็จะเห็นเงาตัวมันเองในกระจกและตายในทันที มีผู้เชื่อว่าบาซิลิสก์มีเขาหรือมีพังผืดด้วย"

ในยุโรปสมัยกลาง บาซิลิสก์ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย โดยคู่กับกริฟฟิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความดี บาซิลิสก์เป็นสัญลักษณ์ของเมืองบาเซิล (Basel) ใน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บาซิลิสก์ถูกนำไปใช้หลายครั้งตามนิยายแฟนตาซีต่างๆ และเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากเรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ

ซึ่งชื่อ บาซิลิสก์ นี้ได้ถูกตั้งเป็นทั้งชื่อเรียกสามัญ และชื่อวิทยาศาสตร์ของกิ้งก่าจำพวกหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ มีหงอนบนหัว และสามารถวิ่งได้เร็วมากจนวิ่งบนน้ำได้ โดยกิ้งก่าจำพวกนี้ มีชื่อสกุลว่า Basiliscus

เนสซี


เนสซี (Nessie) คือสิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อกเนสส์ แคว้นสกอตแลนด์ เชื่อว่ามีรูปร่างคล้ายเพลสสิโอซอรัส (Plesiosaurus) หรือ อีลาสโมซอรัส (Elasmosaurus) สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยในทะเลยุคเดียวกับไดโนเสาร์ มีผู้อ้างว่าเคยพบเห็นถึงปัจจุบันกว่า 4,000 ครั้ง และมีรูปถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพยนตร์มากมาย โดยเอกสารแรกสุดที่กล่าวถึงเนสซี คือ บันทึกของบาทหลวงเซนต์โคลัมบา เมื่อราว 1,400 ปี ที่แล้ว กล่าวถึงมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ และท่านเองก็เคยทำพิธีขับไล่มังกรตัวนี้ด้วย

ใน พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) ได้มีการตัดถนนผ่านทะเลสาบล็อกเนสส์ จึงมีผู้พบเห็นเนสซีมากขึ้น โดยมีผู้อ้างว่า ขณะเขาขับขี่มอเตอร์ไซค์นั้น เห็นเนสซีขึ้นมาบนบก ไฟจากหน้ารถที่ส่องไปถูกตัวทำให้เห็นว่าเนสซีมีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส และต่อมาก็ได้มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้มากมายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ หรือคลื่นน้ำที่เคลื่อนไหวบนผิวน้ำเท่านั้น ต่อมา ทางมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยใช้เรือติดสัญญาณโซนาร์หลายลำแล่นไปบนพื้นผิวน้ำ เรียกว่า "ปฏิบัติการดีปสแกน" (Deepscan Operation) ปรากฏว่า โซนาร์ได้สะท้อนถึงเงาของวัตถุบางอย่างขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวใต้น้ำ แต่บางคนคิดว่าอาจเป็นเพียงฝูงปลาธรรมดา ๆ


รูปจากจอโซนาร์เรื่องราวเกี่ยวกับเนสซีมีทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ โดยผู้ที่เชื่อนั้นเชื่อว่า เนสซีอาจเป็นไดโนเสาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบล็อกเนสส์ในยุคโบราณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน ไดโนเสาร์ในสมัยนั้นอาจเข้ามาอยู่อาศัยจนสภาพของพื้นที่เปลี่ยนไป กลายเป็นพื้นที่ปิดและปราศจากสิ่งรบกวน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในนี้จึงยังหลงเหลืออยู่และมีสภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกที่เข้ามาอาศัย ไม่เพียงเท่านั้นแหล่งน้ำหรือทะเลสาบที่มีลักษณะใกล้เคียงกับล็อกเนสส์ที่อื่น ๆ และบริเวณใกล้เคียงกันก็มีรายงานของสิ่งประหลาดที่คล้ายกับเนสซีด้วย ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เชื่อนั้นเชื่อว่า รูปถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวที่ได้นั้น อาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเนสซีเลย และทั้งหมดทำขึ้นก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ทะเลสาบแห่งนี้โด่งดังขึ้น โดยบางรูปเชื่อว่าเป็นเพียงหางของตัวนากที่กำลังดำน้ำหรือเป็นขอนไม้หรือวัสดุต่าง ๆ ที่กำลังลอยน้ำอยู่

ทุกวันนี้ เรื่องราวของเนสซีก็ยังเป็นเรื่องลึกลับที่เป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้ไปสำรวจและศึกษามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้หลักฐานของเนสซีที่หนักแน่นสักราย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเนสซีก็สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลสกอตแลนด์และชุมนุมใกล้เคียงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก


ภาพนิ่งที่มีชื่อเสียงอีกภาพหนึ่งของเนสซี ซึ่งเป็นภาพนิ่งที่ชัดเจนที่สุด ถ่ายในปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977)ปัจจุบันทางบริษัทวิลเลียมฮิลล์ บริษัทพนันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้ประกาศออกมาว่าจะให้เงินรางวัลจำนวน 1 ล้านปอนด์หรือประมาณ 70 ล้านบาทแก่ผู้ที่สามารถหาหลักฐานได้ว่าเนสซีมีอยู่จริง ในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) นายกอร์ดอน โฮล์มส เจ้าหน้าที่เทคนิคห้องแล็บได้อ้างว่า สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นเนสซีได้ด้วยความยาวถึง 2 นาทีครึ่งขณะนั่งชมทิวทัศน์อยู่ริมทะเลสาบล็อกเนสส์ ซึ่งภาพของนายโฮล์มสครั้งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นของเนสซีที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา นายเอเดียน ไชน์ นักชีววิทยาสัตว์น้ำ ได้ตรวจสอบภาพของนายโฮล์มสแล้วมีความเห็นว่า เป็นการยากที่จะเป็นการตกแต่งหรือทำปลอมขึ้น เพราะภาพไม่ได้จับเฉพาะแต่สัตว์ประหลาด แต่ยังถ่ายไปถึงภูเขารอบทะเลสาบด้วย จึงสามารถเปรียบเทียบความเร็วและขนาดของสิ่งที่เคลื่อนไหวในน้ำได้ด้วย โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีความยาวประมาณ 15 เมตร เคลื่อนที่ด้วยการว่ายน้ำด้วยความเร็วถึง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และภาพบางส่วนยังจับให้เห็นสิ่งที่คล้ายครีบด้วย ซึ่งวีดีโอภาพชุดนี้เป็นที่ฮือฮาและกล่าวขานอย่างมากในสหราชอาณาจักร เมื่อได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะโดยสำนักข่าวบีบีซีในอีก 3 วันถัดมา มีผู้คนมากมายที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ และต่อมาไม่นานได้มีการเปิดเผยว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรเพิ่งจะเปิดเผยข้อมูลลับว่า ทางรัฐบาลเชื่อว่า เนสซีมีอยู่จริง ตั้งแต่สมัยนางมาร์กาเรต แทตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรี และอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองและอนุรักษ์สัตว์ป่าของอังกฤษที่ครอบคลุมทั้งสัตว์ที่รู้จักและไม่รู้จักหลายชนิด

เต่าดำ


เต่าดำ

เต่าดำเต่าดำ 玄武 (เสวียนอู่ ในภาษาจีน เกนบุ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ ฮยุน มู ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศเหนือ ตัวแทนฤดูหนาว เป็นอสูรธาตุน้ำ (ในบางครั้งรวมธาตุดินเข้าไปด้วย) เทพอสูรตัวนี้ถูกสื่อออกมาในรูปของเต่าสีดำที่ถูกพันรอบด้วยงู เป็นสัญลักษณ์แห่งลัทธิเต๋า ความศรัทธา อายุยืนยาว ความสุข มีความเชื่อว่าถ้าเทพอสูรเต่าอายุถึง หนึ่งพันปี จะสามารถพูดภาษาคนและทำนายเหตุการณ์อนาคตได้ กล่าวกันว่ากระดองของเต่าสื่อถึงหลังคาแห่งจักรวาล เทพอสูรตัวนี้มีสัญลักษณ์เป็น เต่า และมีสีดำ รวมถึงประจำทิศเหนือซึ่งถือว่าเป็นทิศที่ไม่ค่อยมงคลสำหรับชาวจีน ก็เพราะ คำว่าเต่าในภาษาจีน มีความหมายในแง่ลบ

พยัคฆ์ขาว


พยัคฆ์ขาว

พยัคฆ์ขาวพยัคฆ์ขาว 白虎 (ไป๋หู่ ในภาษาจีน เบียคโกะ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ แบค โฮ ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศตะวันตก ตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ร่วง เป็นอสูรธาตุโลหะ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับหลุมศพตามตำราจีน จากเหตุการณ์พิธีศพ ของจักรพรรดิจีน สัญลักษณ์ของธาตุโลหะถูกเปรียบเทียบให้เป็นตัวแทนของ เทพอสูรพยัคฆ์กำลังก้มเคารพศพของจักรพรรดิ พยัคฆ์ขาวเป็นเทพอสูรแห่งการปกป้อง การคุ้มครอง เป็นราชาแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง รวมถึงเป็นราชันย์แห่งขุนเขาด้วย เครื่องประดับหยกที่ทำเป็นรูปเสือก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการรบและการทหารด้วย นอกจากเสือจะเป็นเทพอสูรที่คอยขับไล่เหล่าศัตรูของจักรพรรดิจีน แล้วยังคอยขับไล่ภูตผีปีศาจไม่ให้เข้ามาทำลายบ้านเมืองอีกด้วย

หงส์แดง


หงส์แดง

หงส์แดงหงส์แดง 朱雀 (จูเชว่ ใน ภาษาจีน ซูซาคุ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ จู จัก ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศใต้ ตัวแทนแห่งฤดูร้อน สีประจำคือสีแดง เป็นอสูรธาตุไฟ ถูกจับคู่กับมังกรฟ้า ในฐานะความสมดุลตามธรรมชาติความสุขในการสมรสเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ แสดงถึงความรู้ หงส์แดงถูกสื่อผ่านขนสีเพลิงที่ส่องสว่าง พร้อมกับเสียงขับขานอันน่าหลงใหล ซึ่งจะปรากฏตัวในยามมงคลเท่านั้น ซึ่งในพระราชวังของญี่ปุ่นมีรั้วที่สร้างสิริมงคลอย่าง ซูซาคุมง หรือ รั้วหงส์แดง ด้วย

มังกรฟ้า



มังกรฟ้า

มังกรฟ้ามังกรฟ้า 青龍 (ชิงหลง ในภาษาจีน เซริว ในภาษาญี่ปุ่น หรือ ชุง รวอง ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศตะวันออก ตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ผลิ สีประจำคือสีฟ้า (หรือเขียว) เป็นอสูรธาตุไม้ แสดงถึง คุณงามความดี ความเหมาะสม ความสงบสุขและมั่นคงของบ้านเมือง (ควบคุมดินฟ้าอากาศ และ เป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ) มักถูกใช้เป็นขั้วตรงข้ามกับ หงส์แดง (ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งจักรพรรดินี ตามความเชื่อของญี่ปุ่น)

อสูรปกครองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4

อสูรปกครองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
เทพอสูรศักดิ์สิทธิ์ ปกครอง ทิศและธาตุทั้ง 4 (ในภาษาจีน 四霛/四灵 [Ssu Ling]; ในภาษาญี่ปุ่น 四神 [ชิชิน]) เป็น อสูรทั้ง 4 ตามเทพนิยายจีนซึ่งทำหน้าที่ปกครองทิศทั้ง 4 บนสวรรค์ และเทพอสูรแต่ละองค์จะประกอบด้วยกลุ่มดาว 7 กลุ่ม นอกจากนั้นเทพทั้ง 4 ยังเป็นตัวแทนธาตุหลักตามตำราจีนด้วย ซึ่งนำเอาใช้ในตำราแพทย์ของจีน รวมถึงศิลปะการต่อสู้อีกด้วย

เซนทอร์


เซนทอร์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
บทความนี้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในตำนาน สำหรับดาวเคราะห์น้อย ดูที่ เซนทอร์ (ดาวเคราะห์น้อย)

เซนทอร์เซนทอร์ (อังกฤษ: Centaurs ; กรีก: Κένταυροι) เซนทอร์มีร่างส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วนลำตัวลงไปเป็นม้าหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ สง่างาม อาศัยอยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย และเทสสาลีในประเทศกรีซ

เซนทอร์มีสองตระกูล โดยตระกูลหนึ่งเกิดจาก อิคซอน อันธพาลแห่งสวรรค์ที่ขึ้นชื่อ กับอีกตระกูลที่เกิดจากโครนัส ฝ่ายหลังมีอุปนิสัยดีแตกต่างจากฝ่ายแรกมาก

เซนทอร์ตระกูลอิคซอน เกิดจากอิคซอนกับเนฟีลี มีพละกำลังมาก ชอบดื่มไวน์กับชอบไล่คว้าผู้หญิง ซ้ำชอบทะเลาะเวลาเมา เซนทอร์จึงถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมาไม่กลัวใครทั้งสิ้น

เซนทอร์ตระกูลโครนัสต่างกับตระกูลอิคซอน เป็นเซนทอร์แสนดี โครนัสแต่งงานกับฟีลีร่า นางอัปสรน้ำผู้เลอโฉม มีลูกชื่อไครอน ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน มีความสุขุมรอบคอบจนได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ของเหล่าวีรบุรุษหลายคนในตำนานกรีก เช่น อคิลลีส, เฮอร์คิวลีส, เจสัน, พีลูส, อีเนียส และบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็ประพฤติตัวตามแบบครูบาอาจารย์ได้เป็นอย่างดี

ทานูกิ


ทานูกิ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
ทานูกิ
?Nyctereutes procyonoides Gray, ค.ศ. 1834




การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[ซ่อน]

อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Chordata
ชั้น Mammalia

อันดับ Carnivora
วงศ์ Canidae

สกุล Nyctereutes
สปีชีส์ N. procyonoides
ข้อมูลทั่วไป[ซ่อน]
ชื่อวิทยาศาสตร์ Nyctereutes procyonoides Gray, ค.ศ. 1834
ทานูกิ (Tanuki, 狸) เรียกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nyctereutes procyonoides อยู่ในวงศ์ Canidae มีรูปร่างหน้าตาคล้ายแรคคูนที่มีขนาดใหญ่ ขนตามลำตัวค่อนข้างยาว มีสีเทาเข้ม ลักษณะเด่นคือ มีสีดำคาดที่หน้าดูคล้ายหน้ากาก มีแถบสีน้ำตาลปนดำพาดจากไหล่ถึงขาหน้า ขนหางค่อนข้างยาวและฟูดูคล้ายหางของกระรอก บริเวณปลายหางมีสีดำ มีความยาวลำตัวและหัว 50 - 60 ซ.ม. ความยาวหาง 18 ซ.ม. น้ำหนัก 7.5 ก.ก. มีการกระจายพันธุ์กว้างขวาง โดยพบตั้งแต่ทวีปยุโรป รัสเซีย ภาคตะวันออกของจีน ญี่ปุ่น และตอนเหนือของเวียดนาม โดยมักอาศัยอยู่ตามป่าที่มีแหล่งน้ำหรือบริเวณหุบเขา มีพฤติกรรมในการรวมฝูงเป็นครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว อาหารหลักได้แก่ ผลไม้ แมลง และสัตว์ฟันแทะขนาดเล็ก นก และไข่นก มักออกหากินในเวลากลางคืน และมีพฤติกรรมที่น่าสนใจคือ ไม่ค่อยกระดิกหางเหมือนสัตว์ชนิดอื่น ๆ

ชูปาคาบรา


ชูปาคาบรา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

ภาพสเก็ตของชูปาคาบราแบบหนึ่งชูปาคาบรา (Chupacabra ภาษาสเปน แปลว่า "ตัวดูดเลือดแพะ") เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานชนิดหนึ่ง มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันครั้งแรกในเปอร์โตริโกในช่วงต้นทศวรรษที่ 50 และมีหลายคนรายงานว่า มันได้ฆ่าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น แพะ ด้วยการดูดเลือด เป็นจำนวนมาก และยังคงมีผู้พบเห็นมันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน ที่เปอร์โตริโก มีนักสำรวจท้องถิ่นได้สำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับชูปาคาบรา และพบถ้ำแห่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นที่อาศัยของมัน และรอยเท้าของชูปาคาบราก็มีลักษณะใหญ่คล้ายนกกระจอกเทศ

ที่รัฐเท็กซัส มีเกษตรกรรายนึงอ้างว่าเขาสามารถยิงชูปาคาบราได้และฝังมันไว้ในที่ดินที่บ้านของเขา โดยเจ้าตัวที่เชื่อว่าเป็นชูปาคาบรานั้นได้ฆ่าไก่ของเขาไปแล้วถึง 3 หน ซึ่งเจ้าสัตว์ตัวนี้มีรูปร่างแปลกมาก คือ ตัวเป็นสีฟ้าปนสีเทาและไม่มีขน แต่จากการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์จากกะโหลกและตรวจดีเอ็นเอของสัตว์ชนิดนี้แล้วนั้น พบว่า เป็นเพียงสุนัขไคโยตี้ที่เป็นขี้เรื้อนเท่านั้น

และจากการศึกษาซากสัตว์ที่เชื่อว่าตายด้วยการดูดเลือดของชูปาคาบราจนหมดตัวนั้นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พบว่า แท้จริงแล้วเลือดในตัวสัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าถ้ามองจากภายนอกอาจดูเหมือนไม่มีเลือดเหลืออยู่ในตัวเลย เป็นเพราะเลือดในตัวสัตว์นั้นได้หยุดไหลเมื่อหัวใจหยุดเต้น และเชื่อว่า สัตว์ที่โจมตีสัตว์เหล่านี้นั้น น่าจะเป็น สุนัขป่าหรือลิงป่า

อย่างไรก็ตาม จากภาพสเก็ตของผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น ชูปาคาบรามีรูปร่างหน้าตาหลากหลายต่างกัน แต่มีลักษณะที่ร่วมกันคือ มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ต่างดาวที่เรียกว่า เกรย์ (Grey) แต่มีขาหลังที่ใหญ่คล้ายจิงโจ้

มังกรจีน


มังกรจีน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

ภาพวาดมังกรจีนโบราณมังกรจีน (อักษรจีนตัวเต็ม: 龍; อักษรจีนตัวย่อ: 龙; พินอิน: lóng) เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน มีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ , คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง

เกล็ดของมังกรจีนนั้น จะมีลักษณะเฉพาะเปลี่ยนไปตามแต่ละชนิดของมังกร ตั้งแต่สีเขียวเข้มจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้นมีหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด ไชโอะ (chiao) หลังของมังกรจะเป็นสีเขียว บริเวณด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนชนิดหนึ่งจะมีปีกที่ด้านข้างของลำตัว และสามารถที่จะเดินบนน้ำได้ แต่สำหรับมังกรจีนอีกชนิดหนึ่งเมื่อสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลัง จะทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ย

มังกรจีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้ ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่ามังกรคือสัตว์ที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง พบได้ใน แม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน มังกรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง กษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และบรรทมบนเตียงมังกร

มังกรยุโรป
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

ภาพวาดมังกรยุโรปสู้กับอัศวิน
คิง กิโดร่ามังกรยุโรป (European dragon) เป็นมังกรในความเชื่อของยุโรปสมัยกลาง แต่มีความแตกต่างจากมังกรจีนหรือมังกรทิเบตมาก ซึ่งเป็นสัตว์กึ่งเทพเจ้ามีอิทธิฤทธิ์ดลบันดาลให้เกิดฝน เกิดความอุดมสมบูรณ์ได้ แต่มังกรของยุโรปเป็นสัตว์ที่เสมือนตัวแทนของความชั่วร้ายหรือปีศาจ เป็นสัตว์ที่มุ่งร้ายต่อมนุษย์ โดยมากมีลักษณะเป็นสัตว์สี่ขา มีปีกกว้างใหญ่คล้ายค้างคาว หางยาวปลายหางเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายหัวหอก สามารถพ่นไฟได้

มังกรในตำนานพื้นบ้านของยุโรป มักเป็นสัตว์ที่เฝ้าสมบัติและหวงทรัพย์สินเหล่านั้น โดยมากมักจับเอาเจ้าหญิงแสนสวยไปขังไว้บนยอดปราสาท และเป็นอัศวินซึ่งเสมือนวีรบุรุษเข้ามาช่วยเจ้าหญิงและฆ่ามังการนั้นตาย

ตำนานมังกรของยุโรป ที่เป็นที่รู้จัก เช่น ซิคฟรีด (Siegfried) ในตำนานแร็กนาร็อกของยุโรปเหนือ ที่สังหารมังกรแล้วเลือดมังการอาบตัวทำให้เกิดความอมตะ ไม่มีวันตาย เป็นต้น

กระนั้นมังกรของยุโรป ก็มักใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลขุนนาง อัศวิน หรือประดับบนธงของบางประเทศ เวลส์ เป็นต้น เพราะถือเป็นการแสดงถึงพลังอำนาจ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กริฟฟอน



กริฟฟอน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่:
ป้ายบอกทาง, ค้นหา


รูปวาดกริฟฟิน


กริฟฟอน หรือ กริฟฟิน (griffin, gryphin, griffon หรือ gryphon) คือสัตว์ในเทพนิยายร่างกายเป็นครึ่งนกอินทรี ครึ่งสิงโต โดยส่วนหัว ขาคู่หน้าและปีก เป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต และมีหางเป็นงู บางจำพวกก็มี หางของสิงโต ขนบนหลังเป็นสีดำ ขนที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ส่วนขนปีกเป็นสีขาว อาศัยอยู่ในถ้ำตามภูเขา
ตามตำนานกรีก กริฟฟินเป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์เหมืองทองคำของดินแดน
ไฮเปอร์โบเรีย (ดินแดนในตำนานซึ่งอยู่ทางขั้วโลกเหนือ มีแสงอาทิตย์ และความอุดมสมบูรณ์ตลอดกาล), เป็นรูปจำแลงของเทพีเนเมซิส เทพแห่งความพยาบาท ซึ่งทำหน้าที่หมุนวงล้อแห่งโชคชะตา, นอกจากนี้ยังเป็นผู้ลากรถม้าของพระอาทิตย์ (เทพอพอลโล) อีกด้วย
กริฟฟินนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ และบางครั้งยังถือว่ากริฟฟินเป็นสัญลักษณ์ของความหยิ่งยโสอีกด้วย
ในยุคแรก กริฟฟินถูกเปรียบเทียบให้เป็นเหมือนกับซาตาน ที่คอยล่อลวงวิญญานของมนุษย์ให้ติดกับ แต่ต่อมากริฟฟินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้งทวยเทพ และมนุษย์ สำหรับพระเยซู เพราะมันเป็นเจ้าแห่งพิภพและเวหา อีกทั้งมีรังสีแห่งแสง อาทิตย์ ศัตรูของกริฟฟินคือ
บาซิลิสก์ ซึ่งเปรียบได้กับรูปจำลองของซาตาน
ปัจจุบันสามารถพบเห็นกริฟฟินได้ทั่วไปจากงานศิลปะในหลาย ๆ วัฒนธรรม และพบได้ในตราประจำตระกูล รูปสัตว์ต่าง ๆ , ประติมากรรมเก่าแก่, โมเสกนูนต่ำ, นิทาน และในตำนานต่าง ๆ ทั่วโลก